วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทำความสะอาดด้วย...มะนาว

 
ทำความสะอาดด้วย...มะนาว (Lisa)

1. ทำไมน่ะเหรอ

           กลิ่น กลิ่นของมะนาวเป็นกลิ่นสดชื่นและทำให้กระปรี้กระเปร่า สำหรับหลายคนกลิ่นมะนาวเป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลายอย่างในตลาดทุกวันนี้จึงมักผสมกลิ่นมะนาวเข้าไปเพื่อให้ผู้ใช้ชื่นชอบ

           กรด ความเป็นกรดของมะนาวช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคได้ด้วย

2. วิธีใช้มะนาวทำความสะอาด

           ทองแดง รอยเปื้อนบนหม้อหรือภาชนะที่เป็นทองแดงสามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายด้วยมะนาว แค่ผ่ามะนาวครึ่งซีกแล้วจุ่มลงในเกลือ และใช้ขัดถูทำความสะอาดภาชนะทองแดงของคุณ

           ผสมกับน้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูเป็นส่วนผสมที่เหมาะสำหรับการทำความสะอาดอยู่แล้ว แต่บางคนก็ไม่ชอบกลิ่นของมันเติมน้ำมะนาวลงไปสักหน่อย จะช่วยให้กลิ่นของมันเจือจางลง และเพิ่มพลังในการทำความสะอาด

           ขัดพื้นเคาน์เตอร์ หยดน้ำมะนาวลงบนรอยเปื้อนที่ฝังแน่น บนพื้นเคาน์เตอร์ ทิ้งไว้สักสองสามนาที แล้วใช้เบกกิ้งโซดาขัดช้ำอีกที รอยเปื้อนจะหายไป แต่อย่าทิ้งน้ำมะนาวไว้นานเกินไป มันอาจกัดกร่อนพื้นผิวจนเสียหายได้

           ท่อน้ำทิ้ง เทน้ำร้อนผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อยแล้วเทลงในท่อน้ำทิ้ง มันจะทำให้ท่อน้ำมีกลิ่นสะอาดขึ้น

           ฟอกขาว น้ำมะนาวเป็นสารฟอกสีตามธรรมชาติ ใช้น้ำมะนาวถูรอยเปื้อนบนผ้าขาย และปล่อยทิ้งกลางแดดให้แห้ง รอยเปื้อนก็จะหายไป

                                     



 สุราลิ้นจี่ลำไย

มีตัวแทนชาวสวนทางเชียงรายสอบถามเกี่ยวกับการผลิตสุรากลั่นจากลิ้นจี่มา ตอบคำถามทางโทรศัพท์อย่างไร ก็ไม่ชัดเจน และไม่สามารถหาแหล่งยีสต์ให้เขาได้ ผมจึงส่งนักวิจัยขึ้นเครื่องบิน ไปช่วยสอนให้ในเบื้องต้น โดยเขาช่วยค่าใช้จ่ายให้บางส่วนเท่านั้น แต่ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริการวิชาการเกี่ยวกับสุรา เราก็บริการให้ถึงที่สุด ถ้าหากมีปัญหาเร่งด่วนจริง
อีกไม่นานลำไยก็จะออกมาอีก ถ้าออกมากก็จะล้นตลาดอีกเช่นกัน สำหรับลิ้นจี่ ปีนี้อาจจะไม่ทันเสียแล้ว แต่ถ้าเตรียมตัวให้พร้อม อาจจะยังผลิตเหล้าลำไยได้ทัน ส่วนปีหน้าก็เตรียมทำเหล้าลิ้นจี่ไว้ได้เลย

การเตรียมน้ำหมัก

ถ้าท่านที่เคยไปอบรมการทำไวน์มาก่อน อาจจะทราบว่า การเตรียมน้ำผลไม้สำหรับทำไวน์นั้น ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร คือต้องปรับให้น้ำผลไม้มีกรดและน้ำตาลเหมาะสม ต้องวัดปริมาณกรดในน้ำผลไม้ ถ้ากรดมากไปก็เติมน้ำลงไปเพื่อลดกรด และพอเติมน้ำแล้ว ก็ต้องเติมน้ำตาลเพื่อปรับให้มีความหวานพอที่จะได้แอลกอฮอล์ออกมาเป็นไวน์ และตอนก่อนจะเติมหัวเชื้อยีสต์ ก็ต้องฆ่าเชื้อในน้ำผลไม้เสียก่อน จะด้วยวิธีการต้ม หรือเติมสารเคมีก็ตาม เพื่อป้องกันเชื้อที่ไม่ต้องการมาทำให้น้ำผลไม้บูดเสีย
แต่การหมักน้ำผลไม้เพื่อกลั่นเป็นสุราผลไม้ กลับไม่ยากอย่างทำไวน์ เพราะเราไม่ต้องกลัวว่าน้ำหมักนั้นจะมีกรดมากไป (อันนี้หมายถึงผลไม้ที่เหมาะจะนำมาหมักนะครับ ไม่ใช่มะยม กระเจี๊ยบ ส้ม) เพราะจากฉบับที่แล้ว ผมได้เล่าถึงไวน์ของคอนยัค ที่จะนำมากลั่นเป็นบรั่นดี เขาเป็นองุ่นพันธุ์ที่เปรี้ยว ไม่เหมาะจะทำไวน์ มีกรดมาก น้ำตาลน้อย แต่ทำบรั่นดีได้สุดยอด เพราะเมื่อน้ำหมักเป็นกรด ก็จะช่วยป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และมีน้ำตาลไม่มากเท่าน้ำหมักที่จะทำไวน์ ก็จะทำให้เราได้แอลกอฮอล์ออกมาไม่สูงมาก เมื่อนำไปกลั่น ก็จะได้ผลผลิตที่มีกลิ่นหอมของผลไม้มาก เพราะต้องกลั่นให้เข้มข้นมากเพื่อแยกแอลกอฮอล์ที่มีอยู่น้อยนิดนั้นออกมา ก็จะได้กลิ่นหอมตามมาด้วย แต่ถ้ามีแอลกอฮอล์สูงแบบไวน์ปกติ คือ 11 – 13 ดีกรี ก็จะกลั่นได้กลิ่นวัตถุดิบน้อยกว่า เพราะกลั่นไม่เท่าไรก็ได้เหล้าแล้ว
ดังนั้น ถ้าเราผลิตสุราจากลิ้นจี่หรือลำไย ถ้าเราคั้นน้ำแล้ววัดความหวานได้ 15 – 16 องศาบริกส์ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องเติมน้ำตาลลงไปอีก ซึ่งปกติถ้าทำไวน์ลิ้นจี่ จะต้องเติมน้ำลงไป เพื่อลดกรด ลดเปรี้ยว ทำให้ความหวานลดลงไปด้วย ก็เลยต้องเติมน้ำตาลลงไป เพื่อดึงความหวานขึ้นมา แต่ถ้าทำน้ำส่าลิ้นจี่เพื่อจะนำไปกลั่น ก็ไม่ต้องเติมน้ำเพื่อลดกรด เพราะกรดหรือรสเปรี้ยวนี้ เมื่อกลั่นจะไม่ไปกับน้ำสุรา เพราะเป็นกรดที่ไม่ระเหย จึงไม่ทำให้เหล้าเปรี้ยว
และเมื่อไม่ต้องลดกรดโดยการเติมน้ำ ก็ไม่ต้องเติมน้ำตาลให้เปลืองต้นทุน น้ำส่าที่จะนำไปกลั่นก็ควรจะมีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 10 ดีกรี สมมุติว่าน้ำหมักมีน้ำตาล 16 องศาบริกส์ ก็จะหมักได้แอลกอฮอล์ประมาณ 8 ดีกรี ก็เหมาะกับการนำไปกลั่นแล้ว
การคั้นน้ำลิ้นจี่ หรือลำไย ก็อาจเป็นปัญหาได้ เพราะต้องใช้แรงงานมาก ในการปอกเปลือก คว้านเมล็ด บีบคั้นน้ำ ถ้ามีเครื่องแยกเนื้อผลไม้ ก็จะช่วยได้มาก ซึ่งหาซื้อได้ไม่ยาก แถวเวิ้งฯ น่าจะมีขาย หรือจะสั่งบริษัทที่จำหน่ายเครื่องมือแปรรูปอาหารทั้งหลายก็ได้ นอกจากนั้น ลิ้นจี่ และลำไย มีเพคตินสูง ซึ่งจะอุ้มน้ำเอาไว้ ทำให้เราคั้นน้ำได้น้อย เราก็สามารถใช้เอนไซม์ หรือน้ำย่อย ชื่อ เพคติเนส ใส่ลงไป ช่วยให้สกัดน้ำผลไม้ได้มากขึ้น และน้ำหมักก็จะใสดี นำแต่น้ำไปหมัก แต่ถ้าไม่ใส่เอนไซม์ ก็ให้แช่เนื้อลิ้นจี่ไว้กับน้ำสักวัน น้ำก็จะซึมออกมามากขึ้น
การใช้เอนไซม์ มีข้อพึงระวัง คือน้ำย่อยตัวนี้ จะไปย่อยเพคตินในเนื้อผลไม้ ทำให้เกิดเมธิลแอลกอฮอล์ เมื่อนำไปกลั่น จะต้องตัดน้ำหัวทิ้ง อย่างน้อยก็ 1 % ของสุราที่กลั่นได้ เพื่อป้องกันอันตรายจากเมธิลแอลกอฮอล์
นอกจากนี้แล้ว เราควรจะเติมไดแอมโมเนียมฟอสเฟตลงไปด้วย สัก 10 กรัม ต่อ 100 ลิตร เพื่อเสริมอาหารให้กับยีสต์ เพื่อให้เจริญเติบโตได้อย่างสบายใจ

การเตรียมยีสต์สตาร์ทเตอร์และการหมัก

ถ้าท่านอ่านเกษตรแปรรูปเป็นประจำ เรื่องการเตรียมหัวเชื้อยีสต์ หรือที่เรียกกันในวงการว่า สตาร์ทเตอร์ ก็คงเป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไร ใช้วิธีที่นักวิชาการใช้กันอยู่ทั่วไป คือถ้าใช้ยีสต์สดที่อยู่ในหลอดวุ้น ก็เขี่ยลงในน้ำหมัก ปริมาตร 100 ซีซี ในขวด 250 ซีซี น้ำหมักนี้อาจจะใช้น้ำลิ้นจี่ น้ำลำไย ที่เอามาเจือน้ำนิดหน่อย ให้เหลือ 10 องศาบริกส์ แล้วต้มฆ่าเชื้อ หรือจะใช้น้ำสับปะรดก็ได้ สะดวกดี หาง่าย และเลี้ยงยีสต์ได้ดี เมื่อเขี่ยยีสต์ลงไปแล้ว ก็เขย่าแล้วหมักไว้ 1 วัน พอวันรุ่งขึ้น ก็เอาน้ำสตาร์ทเตอร์อันนี้ แบ่งมา 40 ซีซี เติมลงในน้ำหมัก 2 ลิตร ทำเป็นสตาร์ทเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้น เลี้ยงไว้อีก 1 วัน ก็นำไปเป็นหัวเชื้อให้กับน้ำหมักได้ 100 ลิตร (ใช้อัตราส่วนหัวเชื้อแต่ละขั้น 2 เปอร์เซ็นต์)
ยีสต์ที่ใช้หมักผมไม่แนะนำให้ใช้ยีสต์ทำขนมปัง เพราะจะผลิตแอลกอฮอล์ได้น้อยเกินไป และให้กลิ่นรสที่ไม่ดี แต่จะผลิตฟองเยอะ ถ้าหายีสต์ผงของฝรั่งได้ ก็จะดี แต่ราคาแพง ก็ใช้วิธีนำมาทำสตาร์ทเตอร์ แล้วจึงใช้สตาร์ทเตอร์นี้ไปหมักถังใหญ่ ก็จะประหยัดยีสต์ผงไปได้มาก และหากใช้ยีสต์สดโดยใช้วิธีทำหัวเชื้อที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็สามารถเลือกใช้พันธุ์ที่ใช้หมักไวน์ผลไม้ ที่พอจะหาได้จากสถานศึกษาและหน่วยงานต่างๆ เช่นที่ศูนย์จุลินทรีย์ของ วว. ภาควิชาจุลชีววิทยาของมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น
ในการหมักจะใช้เวลาเท่าใด ขึ้นกับอุณหภูมิของการหมัก ถ้าเป็นอากาศบ้านเรา ก็น่าจะไม่เกินสัปดาห์ ท่านผู้ผลิตควรจะมีเครื่องวัดความหวาน หรือรีแฟรกโตมิเตอร์ คอยวัดว่าค่าองศาบริกส์ลดลงเหลือจนหยุดหรือยัง ถ้ายังลดลงอยู่การหมักก็ยังไม่จบ
ในระหว่างที่หมักก็ควรระวังเรื่องการปนเปื้อน อย่าเปิดฝาถังหมัก อย่าให้อากาศเข้า อย่าปล่อยให้น้ำในถังหมักร้อนเกินไป ยิ่งใช้ถังใหญ่มากเท่าไร ความร้อนในถังยิ่งระบายออกได้ยากขึ้น ทำให้เชื้ออาจร้อนจนหยุดการหมักหรือเชื้อตายได้

การกลั่น

ถ้าหากผู้ผลิตไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังงานในการต้มกลั่น 2 ครั้ง ก็พออนุโลมให้กลั่นครั้งเดียวได้ แต่สุรากลั่นผลไม้ที่ดี ได้พิสูจน์กันมาแล้วจากนานาประเทศ ว่าควรกลั่น 2 ครั้ง ตามวิธีการของคอนยัคที่ผมได้เขียนไว้ในฉบับที่แล้ว เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งของการกลั่น 2 ครั้งก็คือ ในการกลั่นครั้งแรก เราสามารถจะกลั่นเอาแอลกอฮอล์ออกมาให้ได้มากที่สุด แล้วกลั่นครั้งที่ 2 เพื่อกำจัดสารที่ไม่ต้องการออกไป โดยการตัดหัวหาง วิธีการกลั่น 2 ครั้งมีดังนี้
ในการกลั่นครั้งที่ 1 น้ำส่ามีแอลกอฮอล์ประมาณ 7 – 8 ดีกรี การกลั่นใช้เวลาประมาณ 8 – 12 ชั่วโมง แล้วแต่เครื่อง น้ำเหล้าที่ออกมาช่วงแรกจะอยู่ที่ประมาณ 70 ดีกรี และจะลดลงเรื่อยๆ อุณหภูมิของไอจะคงที่ ที่ประมาณ 85 องศา (เครื่องกลั่นควรติดเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิทั้งส่วนน้ำส่าและส่วนไอ) กลั่นและเก็บน้ำสุราเรื่อยๆ จนกระทั่งดีกรีในน้ำสุราที่ออกมาเหลือไม่กี่ดีกรี เช่นจะหยุดที่ 5 หรือ 2 ดีกรี ก็แล้วแต่ว่าจะยอมเปลืองเชื้อเพลิงอีกหรือไม่ น้ำสุราทั้งหมดที่ได้เมื่อผสมกันแล้วจะมีดีกรีในช่วง 25 – 30 ดีกรี
รวบรวมน้ำสุราทับที่ 1 ไปกลั่นทับที่ 2 โดยเร่งไฟให้ได้อุณหภูมิกลั่น เมื่อมีน้ำสุราเริ่มออกมาให้ลดไฟ คุมไฟให้น้ำเหล้าค่อยๆ ไหล เหล้าส่วนหัวจะมีแอลกอฮอล์ 75 – 80 ดีกรี นำไปเติมน้ำดื่มเจือจางให้มีดีกรีต่ำกว่า 35 – 37 ดีกรี ถ้าเติมน้ำแล้วเหล้ายังขุ่น แปลว่ายังมีสารเคมีที่เป็นหัวเหล้าอยู่ ให้กลั่นต่อไปจนเมื่อนำเหล้ามาเจือน้ำแล้วได้เหล้าใส แปลว่าส่วนหัวหมด จึงเริ่มเก็บเหล้า เมื่อน้ำเหล้าที่ออกมามีดีกรีต่ำกว่า 65 ก็ตัดเป็นส่วนหาง โดยส่วนหางนี้ให้เร่งไฟเพื่อให้กลั่นได้เร็วๆ แล้วนำเหล้าส่วนหางที่กลั่นทับ 2 มานี้ ไปกลั่นใหม่ หรือนำไปรวมกับน้ำเหล้าทับ 1 เพื่อนำมากลั่นทับ 2 อีก
สรุปก็คือสุราที่เราใช้ คือส่วนกลาง ที่มีดีกรีไม่ต่ำกว่า 65 ดีกรี แต่ถ้าจะลดต้นทุนลงอีกหน่อย ก็อาจจะตัดหางที่ต่ำกว่านี้ แต่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 55 ดีกรี
หากต้องการกลั่นเพียงครั้งเดียว ก็ลงมือตัดหัวตัดหางเสียแต่ในการกลั่นครั้งเดียวนี้เลย โดยตัดหางที่ดีกรีเดียวกันคือที่ 65 หรืออย่างต่ำที่ 55 ดีกรี ส่วนหางให้นำไปรวมกับน้ำส่ามากลั่นใหม่เช่นกัน

การผสมสุรา

ถ้าจะให้เป็นคนทำเหล้าระดับเซียน ก็ต้องมีเทคนิคในการผสมเหล้า และทำเหล้าออกมาให้เหมือนกันได้ทุกครั้ง อาจจะแบ่งน้ำเหล้าแต่ละส่วน แม้จะเป็นเหล้าส่วนกลาง แต่ช่วงแรกๆ ดีกรีสูง ช่วงหลังๆ ดีกรีต่ำกว่า ก็ยังสามารถแยกกันไว้ แล้วค่อยมาผสมกันทีหลัง ในอัตราส่วนที่กำหนดเอง โดยอาศัยการลองผิดลองถูก ทำจนชำนาญ ดมทีเดียวรู้ว่าเป็นเหล้าส่วนไหน
น้ำที่นำมาผสมก็ควรมีคุณภาพใกล้เคียงน้ำดื่ม เพราะสุรา 40 ดีกรี จะเป็นน้ำ 60 % แล้ว ถ้าใช้น้ำไม่ดี สุราก็ไม่ดีไปด้วย จะเห็นเหล้าฝรั่งบางยี่ห้อ เวลาโฆษณาจะพูดถึงแหล่งน้ำที่เขาใช้ว่ามาจากเทือกเขาอะไร ได้น้ำมาจากหิมะที่ละลายไหลลงมาแสนบริสุทธิ์ ฯลฯ แต่นี่เราใช้น้ำบ่อผสม คนทำยังไม่กล้าดื่มเหล้าตัวเอง อุตส่าห์กลั่นมาอย่างดี ตกม้าตายตอนจบ
ส่วนใครที่อยากจะทำสุราสี ทำบรั่นดีผลไม้ที่ต้องบ่มในไม้โอ๊ค หรือสุราปรุงพิเศษอย่างอื่นๆ คงต้องอดใจรอกันอีกระยะหนึ่ง เพราะต้องให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม แก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับขนาดของโรงงานสุราและเงื่อนไขต่างๆ แต่ถ้าท่านมีเงินทุนหนา ก็สามารถตั้งโรงงานสุราตามเกณฑ์ปัจจุบันได้เลย

การตลาดสุราผลไม้

อย่าลืมว่าสุรากลั่นจากผลไม้ มีคุณภาพและคุณค่าสูงกว่าเหล้าขาวจากกากน้ำตาล ต้นทุนการผลิตก็สูงกว่า เพราะผลไม้ราคาแพงกว่า แถมมีเปลือกมีเมล็ด มีก้านมีใบ ที่ต้องทิ้งไป แต่เวลาซื้อขายก็นับน้ำหนักของสิ่งเหล่านี้ไปด้วย และจะให้คุณภาพดีก็ต้องกลั่น 2 ครั้ง ทำให้เปลืองพลังงานมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ควรจะนำไปจำหน่ายเป็นสุราขาวธรรมดาๆ แข่งกับเหล้าโรง แต่ควรจะแต่งหน้าแต่งตัวให้เหมาะสมกับฐานะ ใส่ขวดสวยๆ ติดฉลากเป็นภาษาต่างชาติ มีรูปผลไม้ที่ใช้ผลิต ตั้งชื่อให้ทันสมัย และจำหน่ายในราคาสมน้ำสมเนื้อ เช่น 150 – 300 บาท หรือจะให้แพงกว่านี้ก็ยังได้ เพราะเหล้าลิ้นจี่ เหล้าลำไย ยังไม่มีขายที่อื่นใดในโลก
สำหรับชื่อของเหล้าลิ้นจี่ เหล้าลำไย ก็อาจใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Lychee Spirit และ Longan Spirit ตามชื่อลิ้นจี่และลำไยในภาษาอังกฤษ

ภาพประกอบ
มังคุด..มีประโยชน์อย่างไร..อร่อย..แถมดีด้วย..
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
มังคุดยังไม่ค่อยสุกมาก ก็กรอบอร่อยดี ไม่หวานมากออกเปรี้ยวๆๆ เห็นตลาดยังขายกันโลละ 20-25 อยุ่เลย เราก็ว่ามันถูกแต่ก็อร่อยขายกันเองเขาเอามาจากสวน ก็เลยกินเต็มที่ สงสัยไม่พอต้องซื้อเพิ่มแล้ว มังคุดนั้นถือได้ว่าเป็นราชินีของผลไม้เลย ดูว่ามังคุดนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง มังคุด ( Mangosteen ) เป็นราชินีแห่งผลไม้( Queen of fruit ) ลักษณะ/พันธุ์ มังคุดที่ปลูกในประเทศไทยมีพันธุ์เดียว เรียกกันว่าเป็นพันธุ์พื้นเมือง เพราะเพาะเมล็ด และเมล็ดมังคุดไม่ได้เกิดจากการผสมเกสรจึงแทบจะไม่มี โอกาสกลายพันธุ์เลย เนื่องจากเกสรตัวผู้ของดอกมังคุดเป็นหมัน เมล็ดจึงเจริญจากเนื้อเยื่อของต้นแม่โดยไม่ได้รับการผสมเกสร ดังนั้นจึงเชื่อกันว่ามังคุดมีพันธุ์เดียว แม้จะพบว่ามังคุดสายพันธุ์จากเมืองนนท์ มีผลเล็กและเปลือกบาง มังคุดภาคใต้เปลือกหนาแต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบ เทียบให้เห็นชัดเจนพอที่จะแยกเป็นพันธุ์ได้ คุณค่าทางโภชนาการ การบริโภคมังคุด ทำให้เราได้บริโภคกากใยจากเนื้อของมังคุดด้วย ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายและยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่านั้น เปลือกมังคุดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน การนำไปใช้ประโยชน์ ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ให้ความสนใจนำ สารสกัดจากเปลือกมังคุดไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่เปลือกมังคุด ที่ช่วยดับกลิ่นเต่า ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง รักษาสิวฝ้า ซึ่งใช้ได้ผลดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อในของมังคุดอย่าง อิ่มเอมแล้วก็อย่าได้ทิ้งขว้างเปลือกมังคุดให้เป็นขยะเน่าเหม็นโดยเปล่าประโยชน์ เลย เปลือกมังคุดยังมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือก มังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้ แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิมได้ด้วย เพราะเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วย ลดอาการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารแซนโทนในเปลือกมังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ผิวหนังและกลากได้อีกด้วย


แคนตาลูปมีประโยชน์ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ


ผลไม้มีประโยชน์ต่อรางกายโดยเฉพาะแคนตาลูป แล้วรู้ถึงประโยชน์ของแคนตาลูปกันหรือไม่? วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน….

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีรูปร่าง

ลักษณะคล้ายผลแตงไทย แต่จะแตกต่างกันตรงที่เปลือกนอกของแคนตาลูปจะค่อนข้างแข็ง และมีเนื้อในขาวนวลกว่า รวมทั้งรสชาติจะหวานกรอบ ไม่นิ่มเหมือนแตงไทย นิยมรับประทานสด ทำเป็นสลัด น้ำผลไม้ และของหวานบางชนิด

แคนตาลูปจัดเป็นผลไม้ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หลาย ๆ คนอาจไม่เคยทราบเลยว่า เนื้อแคนตาลูปนั้นมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีความหวานของน้ำตาลธรรมชาติ รวมถึงสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาทานแคนตาลูปกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพที่ดี.

สำหรับสรรพคุณของแคนตาลูป อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ อย่าง วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาสิว วิตามินซี จะทำให้แผลหายเร็ว ส่วนสารอาหารอื่นๆ ที่มีในแคนตาลูป ประกอบด้วย กรดโฟลิก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และวิตามินบี1 บี2 และบี6 จัดเป็นผลไม้ที่ล้างพิษได้อย่างอ่อนโยนกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ช่วยดับร้อน ลดไข้ รักษาการอักเสบของลำไส้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ

ส่วนเครื่องดื่มสุขภาพจากแคนตาลูป ปรุงดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม…

แคนตาลูป 3 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้น ตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแคนตาลูป โดยจะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ หั่นพอหยาบ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็ง ดื่มทันที.

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ  (Slim Up)

         การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

           การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

           เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

 กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

           แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลักซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

           พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

           เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

           นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิกกรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

 แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

          เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

 ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

          จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

 กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
          ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

          ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

องุ่น....ผลไม้แสนอร่อยที่หลายคนในครอบครัวชื่นชอบ ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติดีและสามารถรับประทานได้ทั้งแบบ ผลสดและแห้งแล้ว คุณทราบไหมว่า องุ่นยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพและความงามของเราด้วย
ในผลองุ่นมีวิตามินและสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ด อย่างที่เราเคยได้ยินถึงการสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมาเป็นส่วนผสมในครีม บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ส่วน วิตามินต่างๆ ที่พบในองุ่นนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะน้ำตาลในองุ่นเป็น น้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย จึงช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีผลจากการ วิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองนิวยอร์กพบว่า ในองุ่นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Polyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรามีอายุสมองที่ยาวนานขึ้นและแข็งแรง ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม
ประโยชน์ จากองุ่นนั้นไม่เพียงจะได้จากการรับประทานองุ่นสด องุ่นแห้ง หรือน้ำองุ่นคั้นสด 100% แล้ว ผลและน้ำองุ่นสดยังสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าและเส้นผมได้ด้วย อย่างสูตรบำรุงผิวหน้าให้เปล่งปลั่งชุ่มชื้นแบบง่ายๆ โดยนำองุ่นแดงหรือม่วงทั้งเปลือก ½ ถ้วย ผสมน้ำแตงกวาสด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันแล้วนำมาทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตา) ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้ว ล้างออก ผิวหน้าจะชุ่มชื้นขึ้นและไม่แห้งกร้าน
ส่วน สูตรบำรุงเส้นผมให้ใช้น้ำองุ่นแดงหรือองุ่นม่วงคั้นสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแชมพู สระผม โดยพักไว้หลังสระประมาณ 5 นาทีแล้วจึงล้างฟองออกให้สะอาด จะช่วยให้เส้นผมนุ่มและเป็น เงางาม
การรับประทานองุ่นให้ได้ ประโยชน์มากที่สุดนั้น ความจริงสามารถรับประทานได้ทั้งเปลือกและเมล็ด อย่างที่บอกว่าสารอาหารที่มีคุณค่านั้นอยู่ที่เปลือกและเมล็ดมากกว่าเนื้อ องุ่นเสียอีก แต่ถ้าอยากรับประทานทั้งเมล็ดให้ง่ายขึ้น อาจจะทำเป็นน้ำองุ่นปั่นสดๆ ดื่มก็ได้ค่ะ


“กล้วยหอม” ผลไม้อุดมประโยชน์

(1 vote, average 3.00 out of 5)
 banana
ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที

เรื่องนี้แฟนเทนนิสคงคุ้นตาภาพนักหวดระดับโลกกินกล้วยหอมระหว่างเกมการแข่งขัน อ้อ! แต่เขาไม่ได้กินรวดเดียว 2 ใบนะ ขืนทำงั้นคงกลายเป็นของกล้วยๆ ให้คู่ต่อสู้ได้ชัย นอกจากให้พลังงาน กล้วยหอมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสำคัญคือช่วยให้คลายความเศร้าซึม

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซึม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมมี tryptophan กรดอะมิโนโปรตีน ซึ่งร่างกายแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ในสตรีช่วงก่อนมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอย และก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ การกินกล้วยหอมช่วยได้ระดับหนึ่ง

ช่วยสู้โรคโลหิตจาง ธาตุเหล็กในกล้วยหอมกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเฮโมโกลบินในกระแสโลหิต หยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ ส่วนที่เกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยหอมมีเกลือโพแทสเซียมเหลืองอยู่มาก เป็นตัวช่วยความดันเลือด ระดับที่หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

กล้วยหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน ในผู้มีอาการเมาค้าง (ซึ่งไม่ควรมีเพราะไม่ควรเมา)

สารวิตามินจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น และเพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด การกินกล้วยหอมสัก 1 - 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ยังทุเลาอาการแพ้ท้องได้

เส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดปัญหาท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ยังช่วย ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่อีกด้านกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

ส่วนภายนอก บรรเทาแผลยุงกัด หลังยุงกัดจนได้ตุ่มแดง ก่อนใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ช่วยลดอาการคันหรือบวม

อ้วนจากทำงานมากเกินไป กล้วยหอมก็ช่วยได้ สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแลตและพวกโปเตโตชิพส์มากเกินไป และนั่นทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นกินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก

เสริมสร้างพลังสมอง ข้อนี้อ้างอิงจากงานวิจัยอังกฤษที่ระบุว่า ในแคว้นมิดเดิลเซกส์ มีนักเรียนจำนวน 200 คนจากโรงเรียนทวิกเคนแนม บอกว่าสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น โดยงานวิจัยพบว่าโพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

การรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารเพ็กติน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และกล้วยหอมเป็นผลไม้เย็น ผ่อนร้อนได้


สำหรับสาวคนใดที่ชื่นชอบ
การรับประทานผลไม้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ในประเทศหรือต่างประเทศ แต่มีผลไม้ชนิดหนึ่งที่สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด 
นั่นก็คือ...แตงโม เนื่องจากในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดง
ที่มีชื่อว่า ‘ไลโคปีน' (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งใน
เนื้อแตงโมยังมี ‘เบตาแคโรทีน' (Beta-Carotene) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย

นอกจากนี้เปลือกแตงโมยังมีสาร ‘ซิทรูไลน์' (Citruline) ที่มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดซึ่งเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสารนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานด้วย สำหรับ
ผู้หญิงคนใดที่ต้องการลดความอ้วน แตงโมอาจกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของคุณได้ เนื่องจากแตงโมมีแคลอรี่ต่ำ และยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่ช่วยป้องกันไข้หวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือจะเป็นโพแทสเซียมที่มีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย

ใครที่เคยเมินเชิดใส่แตงโม ควรรีบเปลี่ยนทัศนคติแล้วหันกลับมาให้ความสนใจในคุณประโยชน์และรสชาติหวานอร่อยของแตงโมอย่างเต็มที่


ส้ม


ส้ม...แสนรัก (Momypedia)

          คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ

          พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย
          ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

           ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

           เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

           ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

           มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น


ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง 
          ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

           ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

           ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

           ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

           ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

           ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

           ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

           เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

           มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

           มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ


 ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

          ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

          สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ
          พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

          สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

 ส้ม...การเลือกซื้อ

          การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

          ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอนใช่มั้ยคะ 

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กล้วย : เรื่องกล้วยๆ เรื่องป่วยเรื่องเล็ก



กล้วย : เรื่องกล้วยๆ เรื่องป่วยเรื่องเล็ก
ฝ่ายวิชาการ สถาบันการแพทย์แผนไทย
 
กล้วย เป็นพืชที่พบทั่วไปในเขตร้อนทุกบริเวณของโลก กล้วยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมประชากรในเขตอื่นๆ ของโลก จึงนิยมบริโภคกล้วยด้วยเช่นกัน ด้วยองค์ประกอบมากมาย ทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีผลผลิตตลอดปี ราคาไม่แพง กล้วยจึงถูกนำเข้าประเทศในเขตอื่นอย่างมาก และที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือกล้วยหอม
กล้วยสุก มีคาร์โบไฮเดรตถึง 22% เพราะฉะนั้นการรับประทานกล้วยแทนอาหารเย็น เพื่อลดความอ้วน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำตาล ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ้วนอย่างหนึ่ง นอกจากจะเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตแล้ว กล้วยยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ คือเป็นแหล่งวิตามินเอ บี และซี
กล้วยเป็นผลไม้ที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน แต่กลับไม่ค่อยมีใครศึกษาถึงประโยชน์ทางยาของกล้วยมากนัก อย่างไรก็ตาม พบว่าชาวอินเดียใช้แป้งจากกล้วยบางชนิดทำ "จาปาตี" ซึ่งเป็นโรตีจืด ทั้งนี้มีสรรพคุณคือ ลดอาการท้องอืด หรือธาตุพิการ และยังใช้แป้งจากกล้วยผสมนมสด ใช้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายในผู้ป่วยกระเพาะอักเสบได้เป็นอย่างดี
ในปี พ.ศ. 2473 นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าเนื้อกล้วยสามารถทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เหลือกรดไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการปวด แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ กลับพบสารสำคัญในกล้วยที่สามารถยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะได้ จึงช่วยลดการกำเริบของแผลในกระเพาะ และพบอีกว่า หลังจากให้หนูทดลองกินกล้วยไประยะหนึ่ง ผนังกระเพาะของหนูหนาขึ้นถึง 20% และให้กินยาแอสไพรินซึ่งมีฤทธิ์กัดกระเพาะ กระเพาะของหนูทดลองก็ไม่สามารถกัดกระเพาะได้
นอกจากนี้ ในกล้วยดิบจะมีสารแทนนิน ที่สามารถรักษาอาการท้องเดินชนิดไม่รุนแรงได้ วิธีใช้คือ ใช้กล้วยน้ำว้าห่ามรับประทานดิบ ครั้งละครึ่ง-หนึ่งผล หรือใช้กล้วยน้ำว้าดิบ ฝานเป็นแว่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงใช้ชงน้ำร้อนดื่ม ครั้งละครึ่ง-หนึ่งผล ควรงดอาหารทุกชนิด ประมาณ 2 มื้อ เพื่อให้ท้องได้พักตัว เราใช้กล้วยดิบระงับอาการท้องเดินแล้ว ก็ยังใช้กล้วยสุกเป็นยาระบายได้ด้วย เนื่องจากกล้วยสุกมีเพคตินสูง ช่วยให้ถ่ายคล่อง
ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ กลับมีประโยชน์มากมาย หากรู้อย่างนี้แล้วก็หันกลับมารับประทานผลไม้ไทย ราคาถูก มากด้วยคุณค่า ดีกว่าผลไม้นำเข้า ราคาแพง กันเถิด